ครั้งก่อนเราพาคุณทัวร์โรงงาน เพื่อทำความรู้จักขั้นตอน เครื่องมืออุปกรณ์ และบรรยากาศในโรงงานกันไปแล้ว วันนี้เรามีอีกมุมที่น่าสนใจ ว่าการที่แสนสิริมีโรงงาน Precast Factory แบบนี้ ในฝั่งของผู้อยู่อาศัย หรือลูกบ้านที่น่ารักของเรา จะได้เซฟอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง มาฟังเรื่องราวที่น่าสนใจกัน
เซฟเวลา ให้คุณย้ายเข้าอยู่ได้ไวขึ้น
เพราะโครงสร้างบ้าน ถูกปรับเป็นการใช้ผนังสำเร็จรูปรับแรง แทนการก่ออิฐฉาบปูน ทำให้ระยะเวลาการก่อสร้างบ้านลดลงได้ประมาณ 50% จากปกติใช้เวลาเกือบ 1 ปี ก็จะเหลือเพียงประมาณ 4 – 6 เดือน ลูกบ้านก็สามารถเตรียมเข้าอยู่อาศัยได้แล้ว แถมโครงสร้าง ผนังสำเร็จรูปนี้ ยังสามารถผลิตบ้านได้ตามรูปแบบที่ปรับเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา และมีคุณภาพดีกว่าการใช้แรงงานอีกด้วย
เซฟต้นทุนการผลิต
แน่นอนว่าเทคโนโลยีในโรงงาน และนวัตกรรมต่างๆ พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงแค่ผนังสำเร็จรูปรับแรง แต่ด้วยระบบ Robotic System ยังเพิ่มความเป็นไปได้ในการผลิตชิ้นส่วน และโครงสร้างอื่นๆ ของบ้านได้เพิ่มเติม เช่น พื้นลวดแรงดึง คาน เสา รั้วบ้าน ผนังกันความร้อน และอีกมากมายในอนาคต ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล ก็จะช่วยลดต้นทุนในการผลิต ลดแรงงานคนที่ต้องทำเพราะมีระบบ Automation เข้ามาช่วย ลูกบ้านก็จะได้บ้านที่มีคุณภาพขึ้นในราคาที่คุ้มค่ามากขึ้นเช่นกัน
เซฟความปลอดภัย
เพราะเรื่องความปลอดภัยของลูกบ้าน เป็นเรื่องที่แสนสิริให้ความสำคัญ และไม่เคยประนีประนอม ในช่วงแรกของการทำโรงงานของแสนสิริ ได้มีการริเริ่มการทำวิจัย ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในเรื่องการรับแรงของบ้านจากแผ่นดินไหว โดยจำลองบ้านขึ้นใน model computer เป็นไปตามการออกแบบที่ใช้ รวมถึงรูปแบบของวัสดุที่ใช้ในการทารอยต่อ (Joint) ว่ามีความเหมาะสมเพียงใด โดยมีการทดสอบการสั่นไหวในบ้านจริง และการทดสอบในห้องทดลอง ทำให้มีการพัฒนาปรับรูปแบบ Joint ที่ดีขึ้นมาเรื่อยๆ ตามลำดับ
จากนั้นมีการสร้างอาคารทดลอง (Experimental Building) เพื่อทดลองศึกษาความดันต่างๆ ตามมาตรฐานการทดลองเพิ่มเติม รวมถึงในปัจจุบันยังมีการสร้างโปรแกรมใหม่ๆ มาเพื่อช่วยให้การทำงานรวดเร็วและลดความผิดพลาดลง ทั้งในกระบวนการผลิตและงานติดตั้ง เช่น โปรแกรม SANSMART ที่ใช้ในการวางแผนและงานด้านคุณภาพอีกด้วย
เซฟปัญหาจุกจิกกวนใจ เดี๋ยวร้าว เดี๋ยวซึม
เชื่อไหม ว่าความเห็นจากลูกบ้านสำคัญสำหรับแสนสิริเสมอ จุดเริ่มต้นในปี 2017 เมื่อทีม Homecare ได้รับข้อมูลจากลูกค้าเรื่องปัญหารั่วซึม จึงได้เร่งประสานงานและผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างจริงจัง ปรับรอยต่อของบ้านที่เดิมทีเป็นรูปแบบ Wet Joint ให้กลายเป็นรูปแบบ Dry Joint ที่มีระบบการป้องกันน้ำเข้ารอยต่อได้ดีกว่าเดิม เพิ่มความแข็งแรง ลดการขยับตัว ลดปัญหารอยร้าวและการรั่วซึมได้เป็นอย่างมาก
เซฟโลกของเรา
จากนวัตกรรมที่ล้ำหน้า นอกจากจะช่วยลดระยะเวลา เพิ่มคุณภาพของบ้านในทุกๆ รายละเอียด และทำให้ผู้อยู่อาศัยอยู่ได้อย่างมีความมั่นใจ ปลอดภัย และไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แต่ที่สำคัญในทุกๆ กระบวนการที่ถูกปรับเปลี่ยนไปนั้น ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ไปสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งจะสร้างภาวะเรือนกระจก หรือภาวะโลกร้อนที่สร้างปัญหาใหญ่ให้กับโลกเราตอนนี้อีกด้วย
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เช่น ในการก่อสร้างบ้านแบบเก่า อาจต้องใช้รถบรรทุกขนส่ง หิน ทราย ปูน คราวละหลายๆ ครั้ง ซึ่งในทุกครั้งรถบรรทุกก็จะต้องเติมน้ำมัน ซึ่งสันดาปเป็นก๊าซ CO2 จำนวนมากกว่าการขนส่งครั้งเดียวด้วยผนังสำเร็จรูป หรือการ Recycle & Upcycle ภายในโรงงาน เพื่อลดปริมาณขยะ และดึงขยะกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตได้อีกครั้ง ก็เป็น 1 ในการช่วยลดการสร้างก๊าซ CO2 ได้อีกด้วย
นี่เป็นหนึ่งในความรับผิดชอบ และความตั้งใจของแสนสิริที่เดินหน้าสู่ Net-zero โดยตั้งเป้าเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี 2050 อีกด้วย
เพราะโลกก็คือบ้านหลังใหญ่ ที่แสนสิริ และเราทุกคนต้องช่วยกันดูแล เพื่อทุกชีวิตในบ้าน ทั้งผู้คน ชุมชน สัตว์ป่า และสิ่งแวดล้อม จะอยู่ร่วมกันได้อย่างแข็งแรงและยั่งยืน